วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

ประวัติจักรยานโบราณในประเทศไทย

 ประวัติจักรยานโบราณในประเทศไทย




จากหนังสือจดหมายเหตุรายวันในหนังสือ" ปุญญกถาพระประวัติและจดหมายเหตุรายวันของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ " ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๕ หน้า ๘๗ 
( บันทึกระหว่างเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๔๒๕ ) ที่ได้ทราบจากบันทึกจดหมายเหตุรายวันจึงเห็นเป็นได้ว่ามีรถถีบได้เข้ามาเป็นครั้งแรกในช่วงสมัย ร. ๕ การสั่ง - ซื้อ-ส่งจักรยานโดยทางเรือจากยุโรปมาถึงไทยในสมัยนั้นใช้เวลาเกือบปี ดังนั้นจึงถือเอาว่ารถจักรยานปรากฏในสยามช่วงปี พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยบันทึกเป็นทางการเมื่อ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ เป็นปที่เริ่มต้นจักรยานในประเทศ ไทย นับเนื่องถึงปัจจุบันนี้ยาวนานถึง ๑๑๗ ปีแล้ว
เชื่อกันว่ารถจักรยานใน สยาม ที่รู้จักกันในนาม รถถีบ มีเข้ามาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ ๔ ตอนปลายแล้ว ( ระหว่าง พ.ศ.๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ ) ตรงกับ ค.ศ. ๑๘๕๑ - ๑๘๖๘ ซึ่งเป็นปีที่ฝรั่งเศษ, เยอรมัน,อังกฤษระดมความคิดสร้างสรรค์จักรยานประดิษฐกรรมเฟื่องฟูที่สุดก่อนเปิดยุคอุตสาหกรรมพัฒนาถึงขั้นผลิตส่งออกขายทั่วโลกในปี๑๘๘๕
ในฝรั่งเศษเองคลั่งใคล้จักรยานมากที่สุดในปี ๑๘๖๗ หลังจากนั้น ๑ ปี จึงจะมีคนริเริ่มทำจักรยานเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ในปี ๑๘๖๙ บริษัทโครเวนตี้ ที่อังกฤษเริมผลิตจักรยานล้อโตชื่อ เพนนีพาร์ ทิง ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกจนเป็นที่มาของจักรยานที่ปรากฏเห็นกันในสยามตามบันทึก
ต่อมาในสมัย ร. ๕ รถจักรยานเข้ามาในสยาม เป็นพาหนะส่วนตัวที่ชาวกรุงนิยมนัก ถีบกันเกร่อทั้งไทยและเทศรถถีบสมัย ร. ๕ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ ค.ศ. ๑๘๖๘ - ๑๙๑๐ มีการสั่งจักรยานมาขายเป็นครั้งแรก กรมหลวงราชบุรีฯ สั่งจักรยานมา ๑๐๐ คัน กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ สั่งจักรยานมา ๑๐๐ คัน มีการฝึกหัดขี่จักรยานในรั้ววังฯ....มีการประกวดแฟนซีขี่จักรยาน...มีการตั้งสโมสรผู้ขี่จักรยาน และมีการซื้อขายเป็นต้นแบบการค้าจักรยานครั้งแรกใน สยาม 
การจำหน่ายจักรยานในสมัยนั้นไม่มีใครบันทึกว่าเป็นรถอะไร ...ยี่ห้ออะไร... มีแต่การประกาศขายโดยผ่านประเทศสิงคโปร์ ในยุคนั้น ปรากฏชื่อจักรยานตรา ROYAL PSYCHO จากหนังสือพิมพ์บางกอกไตม์ เมื่อ ๕ ตุลาคม ๒๔๓๕ ทำให้เชื่อได้ว่าคนไทย มีจักรยานตรา ROYAL PSYCHO ใช้ในสมัย ร. ๕ แล้วหนึ่งตรา ในรัชกาลที่ ๖ รถจักรยานได้มีบทบาท ในท้องถนนไมแพ้ รถยนต์ เนื่องจากราษฎรสามารถที่จะซื้อมาขี่ได้.สะดวกกว่าแต่ก่อนเพราะนอกจากจะมีขายในกรุงเทพ ฯและต่างจังหวัดแล้ว ราคาก็ถูกกว่าแต่แรกหลายเท่า รถจักรยานจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย
ในสงครามอินโดจีน รถจักรยานก็มีส่วนใช้เป็นยานพาหนะในกองทัพบกของไทย ด้วย จักรยานยี่ห้อ ฟิลลิปส์ สมัยนั้นราคา ๘๐๐ บาท....ยี่ห้อ ซันบีม เป็นรถแบบสปอร์ต ราคาคันละ ๑,๒๐๐ บาท หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา รถจักรยานยี่ห้อ ราเลย์ และ ยี่ห้อ ซัมบีม เป็นรถที่ดีที่สุด และ ราคาแพงที่สุดตามลำดับปัจจุบันรถจักรยานสามารถสร้างขึ้นได้ในเมืองไทย ราคาจึงขายกันเพียงคันละ ๓๐๐ - ๔๐๐ บาทเท่านั้น และยังพลอยทำให้จักรยานนอกราคาถูกลงด้วยเห็นงามตามเขา
ในความเป็นจริง จักรยานไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือผลผลิตของคนไทย เพียง เห็นงามตามเขา แบบที่พูดกันว่า ฝรั่งทำ...เจ๊กขาย...ไทยถีบ..คนไทยเคยใช้จักรยานมานานถึง ๑๑๗ ปี แล้ว


แหล่งข้อมูล

ประวัติรถ fiat

ประวัติรถ fiat อิตาลี




เฟียต FIAT

ในบรรดารถยนต์อิตาลีหลาย ๆ ยี่ห้อ ยี่ห้อทั้งที่เคยมีจำหน่ายในประเทศไทยและไม่มี น่าจะกล่าวได้ ว่า รถที่ผู้ใช้รถคุ้นเคย กันมากที่สุดคือ เฟียต นั่นเอง เฟียต เปลี่ยนสัญญา ลักษณ์ มาแล้วหลายครั้ง สัญญาลักษณ์ปัจจุบัน ไม่มีความ หมายอะไรพิเศษ นอกจาก อักษร FIAT ซึ่งย่อมาจาก FABBRICA ITALANA AUTOMOBILI TORINO ที่แปลว่า โรงผลิตรถยนต์ แห่งเมืองตูริน อันเป็นชื่อ เดิมที่ใช้เมื่อก่อตั้งกิจการ 93 ปีก่อน รถเฟียตรุ่นแรกออกสู่ตลาด เมื่อปี 1899 และนับแต่นั้นจน ปัจจุบัน เฟียตผลิตรถออกสู่ ตลาดไปแล้วไม่น้อยกว่า 320 รุ่น ผลงานส่วนใหญ่ ของเฟียตเป็น รถยนต์นั่ง ขนาดเล็ก เนื่องจากเฟียตเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เชื่อมันในปรัญชญา ผลิตรถระดับชาวบ้านที่ใช้งานได้คุ้มราคา ปัจจุบัน เฟียตไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของอิตาลีเท่านั้น หากมีฐานะเป็นกลุ่มบริษัทอุสาหกรรมที่ครอบคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วของแผ่นดินอิตาลี กิจการของฟียตมีตั้งแต่การผลิตรถยนต์นั่ง รถบรรทุก รถโดยสาร อุปกรณ์การก่อสร้าง อุปกรณ์การเกษตร การพลังงาน การพิมพ์ การขนส่งฯลฯ จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าเฟียตคือ มาเฟียของอิตาลี

ในส่วนของอุสาหกรรมรถยนต์ กล่าวได้ว่า เฟียตกำอุสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในอิตาลีไว้ในมือทั้งหมดเพราะบริษัทรถยนต์แทบทุกรายไม่ว่าจะเป็น ลันชิอา-อัลฟา โรเมโอ-เฟร์รารี-เอาโต บิอังคี หรือ อินโนเซนตีล้วนแล้วแต่บริษัทที่อยู่ในเครื่อข่ายของเฟียตทั้งสิ้น ปี ค.ศ. 1990 กลุ่มเฟียตผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดทั่วโลกทั้งสิ้นประมาณ 2,162,000 คัน เฉพาะในตลาดยุโรปตะวันตก กลุ่มเฟียตครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มโฟล์คสวาเกน/เอาดี/เซอาท ผลงานของเฟียต คว้าตำแหน่ง รถแห่งปียุโรป (EUROPEAN CAP OF THE YEAR ) รวม 5 ครั้ง คือเฟียต 124 ( ปี 1967 ) เฟียต 128 ( ปี 1970 ) เฟียต 127 ( ปี 1972 ) เฟียต อูโน (ปี 1984 ) และ เฟียต ติโป ( ปี 1989 ) ปัจจุบัน เฟียตผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในชื่อเฟียตรวม 6 อนุกรม รถที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ เฟียต อูโน รองลงไปคือ เฟียต ติโปและเฟียต แพนดา
ชื่อบริษัท: เฟียต ออโต เอส.พี.เอ
FIAT AUTO S.p.A.
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1899
สำนักงานใหญ่: CORSO GUGLIELMO
MAROONI 10-23,10100
TURIN, ITALY
ประธานกรรมการ: มร.อุมเบร์โต อันเยลลี
MR.UMBERTO AGNELLI
กรรมการผู้จัดการ: มร.วิตโตริโอ กีเดลลา
MR.VITTORIO GHIDELLA
เว็บไซต์: www.fiat.com

รถรุ่นสำคัญ : เฟียต ติโป ( 1908 )
เฟียต 519 ( 1922 )
เฟียต 500 “ โดโปลิโน”( 1908 )
เฟียต 1400 ซาลูน ( 1950 )
เฟียต 124 ( 1966 )
เฟียต 125 ผ 1967 )
เฟียต 128 ( 1969 )
เฟียต เอ็กซ์ 1/9 ( 1950 )
เฟียต 132 ( 1972 )
เฟียต 131 มิราฟิโอรี ผ 1974 )
เฟียต แพนคา ( 1981 )
เฟียต อูโน ( 1983 )
เฟียต เรกาตา ( 1984 )
เฟียต ติโป ( 1988 )
เฟียต เทมปรา ( 1990 )
เฟียต ชินเควเชนโต( CINQUECENTO )
เฟียต แพนดา (PANDA )
เฟียต อูโน ( UNO )
เฟียต ติโป (TIPO )
เฟียต เทมปรา ( CROMA )


แหล่งข้อมูล

ประว้ติรถเต่า

ประวัติความเป็นมาของ Volkswagenหรือเจ้าเต่าทอง

ขอขอบคุณที่มาภาพและบทความ :  www.vwshowtime.com
Ferdinand    จุดกำเนิดของvolkswagen เริ่มต้นตั้งแต่ที่ ย้อนหลังเมื่อประมาณปี 1930 ในยุคที่โลกของเราอยู่ในสภาวะวิกฤต คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเยอรมัน ในฐานะเป็นผู้นำกลุ่มอักษะ ได้ใช้ยุทธวิธีทั้งกำลังพลและกำลังอาวุธที่มากด้วยประสิทธิภาพ แล้วส่งไปตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วภูมิภาค เพื่อหวังจะยึดครองโลกหนึ่งในบรรดาจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญนั้นเป็นพื้นที่ทะเลทราย ซึ่งต้องอาศัยพาหนะที่ใด้อย่างเหมาะสมกับทุกสภาพ...
    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำสงครามฝ่ายอักษะ ได้สั่งให้ ดร.นอร์ท โฮป ร่วมกับวิศวกรชาวเยอรมันอีกท่าน คือ ดร.เฟอร์ดินัน ปอร์เช่ ผู้ออกแบบรถปอร์เช่ ให้ร่วมกันออกแบบรถเพื่อใช้เป็นยานพาหนะในการทำศึกสงครามกลางทะเลทราย และรถคันนั้นก้อคือ รถโฟล์กสวาเก้น หรือเจ้าเต่าทองนั่นเอง และ ณ จุดนี้เอง ที่รถโฟล์กสวาเกนกำหนดขึ้น
    ในปี 1938 รถโฟล์กคันแรกถูกผลิตออกมาให้ประชาชนได้ใช้งานกันอย่างจริงจังด้วยคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ว่า ต้องเป็นรถของประชาชนตามชื่อของรถ เพราะคำว่าVolk ในภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ประชาชน ส่วนคำว่า wagen นั้นแปลว่า รถยนต์ ดังนั้น รถโฟล์กคันนี้จะต้องเป็นรถที่จุคนได้ 4-5 คน ต้องกินน้ำมันน้อยต้องทนทานได้นานที่สุด ต้องวิ่งเร็วพอสมควร และที่สำคัญที่สุดต้องราคาถูกด้วย
    สำหรับต้นกำเนิดโฟล์กสวาเกนในเมืองไทย ยุคของฮิตเลอร์    ผู้บุกเบิกเป็นคนแรก คือ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และได้เดินทางไปเยี่ยมน้องชาย คือ หม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิต ซึ่งไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน ณ ที่นั่น ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับดร.นอร์ท โฮป ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทโฟล์ค ก้อได้มีการพูดคุยกัน และได้ปรึกษาหารือกับท่านว่า ให้ท่านเป็นตัวแทนจำหน่ายรถโฟล์กในประเทศไทย เพราะตอนนั้นยังไม่มีการนำรถโฟล์กในประเทศไทย เป็นรายแรกทั้งๆที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการขายรถมาก่อน
    ปี 1953 หรือ พ.ศ. 2496 บริษัท ประชายนต์ จำกัด จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา และที่มาของบริษัทนี้ มาจากรากศัพท์ของคำว่า Volk และ Wagen ที่แปลว่า รถของประชาชนนั่นเอง เมื่อแรกเริ่มของธุรกิจขายรถนั้น ท่านได้ร่วมบริหารงานกับหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิตผู้เป็นน้องชาย จากกิจการที่ไม่ใหญ่โตนัก มีเพียงรถโฟล์ค จากนั้นจึงเริ่มขยายกิจการ โดยได้นำเข้ารถยนต์เเพิ่มขึ้นอย่างเช่น Audi,BMW,Mercedez benz และ Porsche โดยพื้นที่ตั้งของสำนักงานอยู่ที่หัวมุมถนนหลวง ตรงข้ามวัดเทพศิรินทราวาส จนสุดถนนด้านแยกพลับพลาชัย และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพ่อได้มีการขยายกิจการจัดตั้งบริษัท ประมวลธุรกิจ จำกัด ขึ้นอีกแห่ง ซึ่งยังคงดำเนินกิจการ ขายรถยนต์เช่นกัน รวมถึงการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย ไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ของแต่ละภูมิภาค จนในที่สุด ได้มีการขยายกิจการไปถึงประเทศลาว
ยุคของฮิตเลอร์    ในช่วงต้นของการบุกเบิกธรุกิจ เป็นช่วงที่ทำตลาดได้ดีมาก แต่พอช่วงปี 1972 ชื่อบริษัท ประชายนต์ จำกัด ได้หายไปจากวงการรถยนต์ อันเนื่องมาจากปัญหาภายในบริษัท จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด และเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการมาเป็นอู่ซ่อมรถ และรับตรวจสภาพรถโฟล์กที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ ช่วงเวลานั้น โดยหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิตยังคงเป็นผู้บริหาร
    หลังจากที่ดำเนินธุรกิจอู่ซ่อมรถภายใต้ชื่อ บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด จนถึงปี 2533 องค์ท่านถึงแก่ชีพิตักษัย ลูกชายคนเดียวของท่านจึงได้เข้ามารับช่วงต่อ โดยยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจ ให้เหมือนสมัยที่ท่านสร้างไว้ คือให้บริการซ่อมและตรวจสภาพรถโฟล์กทุกรุ่น แต่ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น Showtime VW และได้เพิ่มบริการอีกแขนงคือ รับตกแต่งรถโฟล์ก ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งมีผู้เคยถามท่านว่า จะทรงเกษียณอายุเมื่อใด ท่านรับสั่งว่า"คิดว่าเมื่อสิ้นชีวิต เพราะจะทำไปตลอดจนกว่าจะหมดความสามารถที่จะทำ"
    หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ประสูติ ณ วังไม้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2456 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย เวลา 6.35 นาฬิกา ทรงเป็นโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง สนิทวงศ์) และหม่อมเอลิซาเบธ รังสิต ณ อยุธยา ทรงมีอนุชา 1 องค์ และขนิษฐา 1 องค์ คือหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ และหม่อมเจ้าจารุลักษณ์กัลยาณทรงอภิเสกสมรสกับหม่อมราชวงศ์ผ่องลักษณ์ ทองใหญ่ ทรงมีธิดา 1 คน คือหม่อมราชวงศ์เยาวลักษณ์ทรงรับพระราชทานเสกสมรสกับหม่อมเจ้าวิภาวดี รัชนี (พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต)ทรงมีธิดา 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์วิภานันท์ และหม่อมราชวงศ์ปรียานันทนายังทรงมีบุตรกับ บุญพิทักษ์ แสงฤิทธิ์(หม่อมพิทักษ์) คือ หม่อมราชวงศ์ประทักษ์ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ถึงชีพิตักษัยด้วยพระหทัยวาย ณ เชียงหใม่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย เวลา 0.20 นาฬิกา ชนมายุ 76 ปี เดือน 6วัน

การศึกษา
    ปี พ.ศ.2465 ระดับประถมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย ที่ โรงเรียนเทพศิรินทร์, กรุงเทพฯ ประเทศไทย
    ปี พ.ศ.2467ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ โรงเรียนเทพศิรินทร์,กรุงเทพฯ ประเทศไทย
    ปี พ.ศ.2468ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ Freies Gumnasuim,ซูริค,สวิวเซอร์แลนด์
    ปี พ.ศ.2481 ระดับอุดมศึกษามหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์,สหรัฐอเมริกา

ธุรกิจ
    ปี พ.ศ.2497บริษัท ประชายนต์ จำกัด เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถนำเข้าจากต่างประเทศ อันได้แก่ โฟล์กสวาเก้น,ออดี้,พอร์เช่,ฺbmw
    ปี พ.ศ.2513 บริษัท ประมวณธนกิจ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือ ด้านสินเชื่อกับผู้ซื้อรถยนต์โดยการเช่าซื้อ
    ปีพ.ศ.2513 บริษัท อู่นพวงษ์ (2517)จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการรับซ่อมรถยนต์และขายอะไหล่
    ปี พ.ศ.2523 บริษัท ป.รังสิต จำกัด เป็นบริษัทที่ต้งขึ้นเพื่อก่อสร้างอาคารชุด เพื่อประชาชนที่มีรายได้ปานกลาง อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
หาข้อมูลเกี่ยวกับรถโฟล์กเพิ่มเติมได้ที่: http://www.vwshowtime.com/8_history/history.html ที่มา:หนังสืออนุสรณ์ในงานเสด็จพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ป.ช.,ป.ม.,ท.จ.ว.








แหล่งข้อมูล
http://www.vrclassiccar.com/content/originofvolkswagen.php



วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557

ประวัติ ความเป็นมา จักรยานยนต์



ประวัติ ความเป็นมา จักรยานยนต์




รถจักรยานยนต์

ประวัติ ความเป็นมา จักรยานยนต์

      รถจักรยานยนต์คันแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งวิศวกรรม เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับรถยนต์ที่ใช้พลังขับเคลื่อนแบบสันดาปภายในทั่วไป เพียงแต่ว่ารูปทรงในระยะแรกต้องอาศัยรถพ่วงเข้ามาเสริมบ้างอาศัยล้อที่ 3 เข้ามาช่วยบ้าง เพื่อการทรงตัวดีขึ้น โดยระยะแรกๆ นั้น เจมส์ วัตต์ ได้สร้างเครื่องจักรไอน้ำขึ้นมาเป็นตัวต้นกำลัง ซึ่งมีชิ้นส่วนขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนักมาก ขีดจำกัดในการใช้งานของเครื่องยนต์ ชนิดนี้จึงถูกนำไปใช้ในยานพาหนะขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการสมดุลในน้ำหนักที่ค่อนข้างมากของตัวต้นกำลัง เช่นรถจักรไอน้ำที่เราคุ้นตามาแต่ยุคบุกเบิก หรือเรือกลไฟที่เราเคยใช้งานเพื่อขนถ่ยสินค้าตามลำน้ำกันนั่นเอง
      ในช่วงปลายค.ศ 1884 นั้นน่าเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกถึงการเสนอผลงาน "พิมพ์เขียว" แสดงให้เห็นถึงการทำงานของเครื่องยนต์ สันดาปภายในขนาดเล็กที่จะมีการพัฒนาสำหรับการนำมาติดตั้งในรถจักรยานยนต์เป็นครั้งแรก โดยทุนสนับสนุนของมหาเศรษฐีชาวอังกฤษชื่อ Edward Butler ด้วยเครื่องยนต์ ที่ใช้คาบูเรเตอร์เป็นตัวผสมอากาศเป็นครั้งแรก โดยใช้คอยล์จุดระเบิดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสันดาปภายใน ห้องเผาไหม้ในเวลาดังกล่าวนั้น เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะของ OTTO ก็กำลังอยู่ในขั้นวิจัยระยะสุดท้าย โดยทางประเทศเยอรมันนี ก็ตั้งความหวังในการสร้างรถจักรยานยนต์คันแรกด้วยทีมงานของ Gottlieb Daimler และ Karl Benz ซึ่งต่อมาทั้งคู่สามารถสร้างได้สำเร็จ แต่เสียดายที่รถต้นแบบถูกไฟไหม้ไปพร้อมๆ กับโรงงานในปี ค.ศ. 1903
      ในช่วงปีค.ศ. 1892 เฟลิกซ์ธีโอดอร์มิลเลอร์ นักค้นคว้าชาวอังกฤษ ได้นำเอาเครื่องยนต์แบบ 5สูบ (ในวงการวิศวกรรมยานยนต์เรียกกันว่าสูบดาว) ส่งกำลังโดยตรงจากห้องข้อเหวี่ยงลงสู่ดุมของวงล้อโดยตรง โดยมิลเลอร์ตั้งชื่อรถของเขาว่า Stellar ซึ่งมีความหมายว่าดวงดาว อย่างไร ก็ตามในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอังกฤษยุคบุกเบิกในปลายศตวรรษที่ 18 Mr. John Boyd Dunlop ซึ่งเป็นลูกชายของบริษัทผู้ผลิตยาง ดันล็อปได้เข้ามามีบทบาทเสริมในด้านการผลิตยานยนต์ด้วย
      ส่วนประเทศอิตาลี Mr. Enrico Bernardi ได้นำเอาเครื่องยนต์ตัดหญ้ามาเป็นตัวต้นกำลังขับ-ผลักดันให้รถจักรยานธรรมดา กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของประเทศอิตาลีในช่วงปี ค.ศ. 1893 โดยเครื่องยนต์ชนิดนี้ ให้แรงม้าสุทธิเพียงครึ่งแรงม้า ที่รอบเครื่อง 280-500 รอบ/นาที
      ขยับขึ้นมาอีก 2 ปี การพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพื่อนำมาติดตั้งในพาหนะระดับย่อย ก็เริ่มได้จุดลงตัว โดย Mr De Dion สามารถนำเอาเครื่องยนต์ แบบสูบเดี่ยว 4 จังหวะลงมาติดตั้งในรถ 3 ล้อขนาดเล็กได้สำเร็จโดยเครื่องยนต์ต้นแบบชุดนี้ ยังไม่มีคาบูเรเตอร์ แต่ใช้กรรมวิธีในการดึงเอาไอระเหยจากน้ำมันเบนซิน ป้อนเข้าไปในห้องเผาไหม้ในจังหวะดูด ส่วนผู้ที่สร้างระบบจุดระเบิดสำหรับใช้กระตุ้นจังหวะงานของหัวเทียน คือ Mr Robert Bosch ซึ่งต่อมาได้พัฒนาระบบไฟฟ้า ทุกชนิดเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์จนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการรถยนต์และพาหนะเกือบทุกชนิดไปในปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคปัจจุบัน ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้วงล้อเดี่ยวและสามารถผลิตลงสู่ตลาดโลกได้สำเร็จ เป็นผลงานคละเคล้าอยู่หลายประเทศ เช่น อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี และฝรั่งเศษ ทางด้านประเทศเยอรมนี น่าจะเป็นผลงานของเดมเลอร์ และเบนซ์ ก่อนที่จะยุบตัวลงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากต้องปรับผังของโรงงาน ออกมาสร้างยุทธปัจจัยต่างๆ เพื่อสนับสนุนกองทัพ ส่วนทางด้านอังกฤษ มีผลงานเด่นของ "Raleigh" ที่เริ่มผลิตรถจักรยานขายเป็นอุตสาหกรรมมาก่อน แล้วจึงนำเครื่องยนต์มาติดตั้งเอาไว้ที่แผงคอหน้ารถจักรยานในปี ค.ศ. 1899 ด้วยรูปทรงที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในที่สุด
      จากยุค 1900 มาจนถึง 2004 นับเป็นเวลากว่า 100 ปีเศษ ที่วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ก้าวเดินต่อมาด้วยแนวความคิดอันหลากหลาย ของวิศวกรหลายชาติ และหลายประเทศ รวมมาถึงชนชาติญี่ปุ่นหนึ่งเดียวในเอเชียที่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการผลิตรถลงสู่ตลาดโลกในช่วงหลังของปี ค.ศ. 1950 ชื่อของรถจากประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มดับรัศมี แนวความคิดเดิมๆ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปลงอย่างสิ้นเชิงและแน่นอนว่าชื่อของ ฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ และคาวาซากิ คือ 4 ในกระแสของความนิยมในระดับสูงสุดที่ยังเหลือผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ลงป้อนตลาดโลกอยู่เพียงไม่กี่แห่ง จากจำนวนเกือบ 100 ยี่ห้อที่มีการผลิตรถในยุคก่อน สงครามโลกครั้งที่สองจะสงบลง
      รถจักรยานยนต์สมัยแรกๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับบลิว ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ไทรอัมพ์ จนกระทั่งเมื่อรถจักรยานยนต์จากญี่ปุ่น เริ่มเข้าตลาดเมืองไทยจนปัจจุบันนี้ เราจะเห็นแต่รถจักรยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนมาก ส่วนรถจักรยานยนต์จากประเทศยุโรป ก็ยังมีอยู่แต่มีราคาที่แพง กว่ามาก อะไหล่หายากจึงมีผู้สนใจเฉพาะผู้ที่รักรถจักรยานยนต์จากยุโรปจริงๆ และผู้ที่มีกำลังเงินในการซื้อเท่านั้น
รถจักรยานยนต์
Kreider(เยอรมัน) Florett K53m 50cc ปี 1959
Kreider(เยอรมัน) Florett K53m 50cc ปี 1959
Zundapp(เยอรมัน)
Zundapp(เยอรมัน)
Solex
Solex
Puch(ออสเตรีย)
Puch(ออสเตรีย)
Ducat(อิตาลี) สูบตั้งโบราณ ปี 1948
Ducat(อิตาลี) สูบตั้งโบราณ ปี 1948
VELLOVEP
VELLOVEP
ดูเรื่องอื่นในงาน 2 wheel story
      • ประวัติจักรยาน และจักรยานหายาก
      • ความเป็นมาของ รถจักรยานยนต์
      • monkey bike จักรยานยนต์ ขนาดเล็ก
      • มอเตอร์ไซด์ ยุโรป
      • มอเตอร์ไซด์ อเมริกัน
      • มอเตอร์ไซด์ ญี่ปุ่น

ประวัติรถยนต์คลาสสิก


ประวัติรถยนต์คลาสสิก






รถยนต์คลาสสิก คือ รถยนต์เก่า หรือรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในอดีต คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2443 เป็นต้นไป โดยระยะรุ่นปีของรถที่ถือว่าเป็นรถยนต์คลาสสิกนั้น นอกเหนือจากความเก่า และรูปลักษณ์ที่ดูคลาสสิกแล้ว ยังขึ้นอยู่กับรสนิยมอีกด้วย เนื่องจากมีบ่อยครั้งที่มีบุคคลบางกลุ่มเรียกรถยนต์ที่มีลักษณะที่ดูคลาสสิก เช่น ฟอร์ด มัสแตง โฉมแรก (รุ่นปี ค.ศ. 1964 - 1973) เป็นต้น ว่าเป็นรถยนต์คลาสสิก แต่อีกบางกลุ่มก็ไม่ถือว่าเป็นรถคลาสสิก เช่น Classic Car Club of America จะไม่ถือว่ารถยนต์ที่เริ่มผลิตหลัง ค.ศ. 1948 เป็นรถยนต์คลาสสิก เนื่องจากรถยนต์ที่ใหม่กว่านั้นจะใช้คำอื่นที่ไม่ใช่ "รถยนต์คลาสสิก" มานิยามแทน
รถยนต์คลาสสิกที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน มักจะได้รับการดูแลรักษารถให้เงางามและอยู่ในสภาพดี รวมไปถึงการบูรณะสภาพรถ จากที่มีสภาพเป็นซากรถ หรือใช้การไม่ได้ ให้อยู่ในสภาพที่ดีและมีความงามมากขึ้น

ผู้ผลิตรถยนต์คลาสสิก[แก้]

ในปัจจุบันยังคงมีการผลิตรถยนต์ลักษณะคลาสสิกขึ้นมาใหม่อยู่ แต่มีน้อยมาก (เช่น รถยนต์มอร์แกน ของสหราชอาณาจักร หรือรถยนต์บูโฟริ (Bufori) ของมาเลเซีย) จนอาจถือได้ว่าไม่มีการผลิตรถยนต์ลักษณะนี้ในปัจจุบัน บริษัทที่ผลิตรถยนต์คลาสสิกที่มีชื่อเสียงในอดีต เช่น


ทีมา

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

เปิดตัว i phone 6

เปิดตัว i phone 6




iPhone 6 (ไอโฟน 6) อัพเดท สเปค




[1-เมษายน-2557] อัพเดทข่าว iPhone 6 (ไอโฟน 6) โดยทีมงาน techmoblog ในวันนี้ เรียกได้ว่า มีข่าวอัพเดทแบบรายวันเลยก็ว่าได้ครับ เพราะหลังจากที่มี ข้อมูลหลุด ซึ่งยืนยันว่า iPhone 6 จะมาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ขึ้นนั้น ล่าสุด ต้นตอข้อมูลดังกล่าว ได้เผย ภาพเรนเดอร์ iphone 6 ออกมาให้ชมกัน
สำหรับรายละเอียด ขนาดตัวเครื่อง iPhone 6 นั้น เผยมาจากบล็อก Macotakara ในประเทศญี่ปุ่น ที่มีความแม่นยำในการทำนายข้อมูล อุปกรณ์ iDevice จากแอปเปิล ถูกต้องมาแล้วในอดีต ทำให้ Martin Hajek นักออกแบบกราฟฟิก ร่วมกับบล็อก Nowhereelse.fr ในฝรั่งเศส ช่วยกันออกแบบ ภาพเรนเดอร์ iPhone 6 ที่รวบรวมข้อมูล ข่าวลือ ที่ผ่านมา กลายมาเป็น iPhone 6 รุ่นบางเฉียบ ตามภาพนั่นเอง




สำหรับขนาดหน้าจอ iPhone 6 นั้น ตอนนี้ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดครับว่า จะมีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอ นั่นก็คือ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว (บางสื่อเผยว่า เป็นขนาด 5.7 นิ้ว) จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่ยืนยันได้แล้วส่วนหนึ่ง ก็คือ หน้าจอมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะเป็นขนาดใดนั้น ต้องมาลุ้นกันอีกที ในเดือนกันยายน กับงานเปิดตัว iPhone 6 ครับ - bgr.com

พบหลักฐานยืนยัน iPhone 6 หน้าจอใหญ่ขึ้นจริง



เว็บไซต์ Nowhereelse.fr จากประเทศฝรั่งเศส ได้เผยเอกสารที่ได้มาจาก เว็บไซต์แห่งหนึ่งในประเทศจีน ซึ่งยืนยันชัดว่า iPhone 6 หน้าจอใหญ่ขึ้นจริง
โดยข้อมูลดังกล่าว ระบุความยาวของ iPhone 6 อยู่ที่ 5.9 นิ้ว ส่วนความกว้างอยู่ที่ 3.3 นิ้ว เทียบกับ iPhone 5S แล้ว ที่มีขนาดอยู่ที่ 4.87 x 2.32 นิ้ว ซึ่งถือว่า ใหญ่กว่ามาก นอกจากนี้ ทาง Nowhereelse ยังได้คำนวณขนาดหน้าจอคร่าวๆ อยู่ที่ราวๆ 5 นิ้วครับ
สำหรับ ข่าวลือ เรื่อง iPhone 6 หน้าจอใหญ่ขึ้นนั้น เริ่มลือกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว โดยคาดกันว่า iPhone 6 จะมีให้เลือกถึง 2 ขนาดหน้าจอด้วยกัน ได้แก่ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว ที่เรียกได้ว่า ออกมาต่อกรกับ ตลาดมือถือจอใหญ่ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้ ซึ่งหลายแบรนด์ชื่อดัง ต่างเปิดตัว สมาร์ทโฟนจอใหญ่ ออกมากันหมดแล้ว เหลือแต่ แอปเปิล เพียงเจ้าเดียว ซึ่ง iPhone หน้าจอใหญ่ที่สุด อยู่ที่ขนาด 4 นิ้ว เท่านั้น - digitaltrends.com


แหล่งข้อมูล





SR400

SR400







ประวัติ yamaha sr




ปิดตำนาน Yamaha สายพันธุ์ SR 400/500
ทำไมรถรุ่นนี้ถึงได้มีอายุการผลิตที่ยาวนานเกือบ30ปี ?ทำไมถึงมีการปรับเปลี่ยนโฉม(Minor Change) ทั้งหมด 21ครั้งตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงปัจจุบัน ทำไมมันถึงไม่ยอมตกยุคหนำซ้ำยังได้รับความกระแสความน ิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าศึกษาและค้นคว้า และนี่คือตำนาน
Yamaha ตระกูล SR 400/500 ได้เริ่มสายการผลิตในครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1978 โดยเริ่มผลิตด้วยรุ่น 500 ก่อน ซึ่งได้ใช้เครื่องยนต์ของรถแนววิบากรุ่นพี่คือ Yamaha XT 500 (เริ่มผลิตปี 1976) เป็นต้นแบบ หลังจากนั้นจึงผลิตรุ่น 400 ตามออกมา
ด้วยการออกแบบรูปทรงเพื่อสนองความต้องการในยุคสมัยนั ้น (ยุครุ่งเรืองของรถมอเตอร์ไซค์จากเมืองผู้ดีอังกฤษ)
เครื่องยนต์สี่จังหวะสูบเดียว 400และ500cc. ระบบการไหลเวียนของน้ำมันเครื่องโดยใช้เฟรมของตัวรถ ซึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจวัยรุ่นยุคนั้นอยู่ไม่น้อยเล ยทีเดียว และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ได้มีการปรับเปลี่ยนสีสันลายถัง,โลโก้,ระบบเบร ค เป็นต้น มีการผลิตรุ่น SP ทั้งหมด2รุ่น และ Special Edition ทั้งหมด4ครั้ง ที่เราจะได้มาดูในรายละเอียดกันต่อไป
__________________
ข้อมูลทางเทคนิคของ SR 400
เครื่องยนต์แบบ Single สูบเดียว 4จังหวะ โอเวอร์เฮดวาล์ว(OHC) 2 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
รหัสเครื่องยนต์ 2H6 (ไม่มีเลขต่อ)/ปี1996-2000 2H6 xxxxxx (มีเลข6หลัก)/ปี 2001 ถึงปัจจุบัน H313E xxxxxx
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 399cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0×67.2
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 8.5 : 1
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 27 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 7,000 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.00 กิโลกรัมเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
__________________
ข้อมูลทางเทคนิคของ SR 500
เครื่องยนต์แบบ Single สูบเดียว 4จังหวะ โอเวอร์เฮดวาล์ว(OHC) 2 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
รหัสเครื่องยนต์ 2J2
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 499cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0×84.0
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 32 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.70 กิโลกรัมเมตร ที่5,500รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
แหล่งข้อมูล

เว็บซื้อขายรถ


เว็บซื้อขายรถน่ะคับ ลองเข้าดูน่ะ
01http://www.thaicar.com/



102,702จำนวนรถทั้งหมด























0

02 http://www.olx.co.th/?gclid=CIGeqMmKyb0CFYHxpAodoh4AJQ

ข้าวของที่บ้านเก่าเก็บไม่ได้ใช้
เอาออกมาขายที่ OLX
03 http://www.taladrod.com/w20/Home/
รถมาใหม่วันนี้
442
6hr Reserve
 218 
จำนวนรถทั้งหมด
10,059
Online
2,769


ขายผ่านตลาดรถ
ได้เงินเลย
ไม่ต้องรอนาน
...คุณประพาต
(มาจากอุบล)
มาไกลหน่อย
แต่ปลอดภัยหายห่วง
...คุณเทอดศักดิ์
(มาจากชัยภูมิ)
อยู่คนละจังหวัด
ก็ซื้อขายได้ใน1วัน
...คุณสุระวิทย์
เลือกใช้ตลาดรถ
ถูกใจใช่เลย
...คุณหฤษฏ์